Last updated: 25 ก.ค. 2565 | 77476 จำนวนผู้เข้าชม |
อารัมภบทก่อนเริ่มรีวิวสักเล็กน้อย
รีวิวนี้ผลลัพธ์ที่ได้เป็นผลส่วนบุคคล สภาพผมแต่ละคนแตกต่างกัน ผลที่ได้ย่อมแตกต่างกัน โปรดหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจซื้อ
รูปภาพ: ถ่ายเองในห้องน้ำที่บ้าน ไม่ค่อยสวยงามนัก บางภาพนำมาจาก internet
สภาพผมส่วนตัว : ผมเส้นเล็ก กึ่งบางกึ่งหนา ไม่ได้บางมาก ช่างผมบอกว่า รากผมเยอะ แต่เส้นเล็กเลยดูบาง เมื่อผมบางและเส้นเล็ก ปัญหาหลักคือ ผมไร้น้ำหนัก พันกันง่ายมาก มีบางช่วงที่ฟู ขาดง่าย และลีบแบน ขึ้นกับว่าไปเจออะไรทำร้ายมา เช่น
ตากแดดเยอะ ขับมอเตอร์ไซต์บ่อย ผมก็จะกรอบ ฟู ขาดง่าย ใช้แชมพูที่มีซิลิโคนเยอะ ผมก็จะมันเร็ว ลีบ ติดหนังหัว ต้องสระทุกวัน หลังสระก็ฟูและแห้ง ไม่นานนักก็เริ่มมันและลีบ
ส่วนตัวไม่ค่อยไดร์ผม ไดร์บ้างนานๆครั้งเวลาไปตัดผมในร้านหรืออบไอน้ำ เคยทำสีผม 1 ครั้งเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ทำเอง ซึ่งก็คงไม่มีผลถึงสภาพผม ณ ตอนนี้
ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมที่เคยใช้
ขอไล่มาตั้งแต่วัยเด็กเลยนะคะเท่าทีจำความได้ จริงๆมันไม่ได้เกี่ยวกับรีวิวนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็อยากบันทึกไว้อ่านภายหลัง ว่าครั้งหนึ่งเราเคยใช้อะไรและทำอะไรบ้างกับผมของเรา มีคนบอกว่าคนที่ชอบเล่าอะไรเก่าๆ คือคนที่แก่แล้ว ยอมรับค่ะ^^
เริ่มจากวัยประถม
ผมดีมาก สลวย ทิ้งตัว ไม่มีพันกัน สีน้ำตาลแดงเหมือนลูกครึ่งเลย ใครเห็นก็ถามว่าลูกใครทำไมตัวขาวหัวแดง แบบว่าเด็กแถวบ้านนอกคนอื่นๆผิวจะคล้ำ เขาไม่ได้ทักว่าเราเป็นลูกฝรั่งหรอกนะ หัวเราน้ำตาลแดงก็จริง แต่ดั้งเราไม่มี เขาจะทักว่า ลูกลาวมาจากไหน ไม่ชอบคำนี้เลย แบบว่า อายเพื่อน เหมือนโดนล้อ ช่วงเวลาที่เริ่มจำความได้เกี่ยวกับแชมพูก็สัก ป.2 ใช้แชมพูเด็กยี่ห้อน่ารักแบบซอง แล้วก็ใช้แฟซ่า ซันซิล เทียร่ากลิ่นมะลิซองเขียว สลับไปมา ใช้อะไรก็ดีไปหมด ไม่ต้องนวด จนกระทั่งสัก ป.4 ถ้าจำไม่ผิดมีแชมพูยี่ห้อใหม่เกิดขึ้น คือ รีจอยส์ เป็นแชมพูยี่ห้อแรกที่ทำแบบ 2 in 1 คือ แชมพูผสมครีมนวดผม สระแล้วผมนิ่มมาก ลื่นมาก ติดใจมาก ถ้าเป็นภาษาสมัยนี้คือ ฟินอะ ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็ก เรามีความคิดว่า ในเมื่อสระแล้วดีขนาดนี้ ถ้าเอามาทาทิ้งไว้บนผม จะดีขนาดไหน เราเลยเอารีจอยส์มาทาบนผมทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน ประหนึ่งว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม leave on (ทาทิ้งไว้ไม่ต้องล้าง) เราทำอยู่เกือบเดือน ผลคือ คันหัว พ่อพาไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าเป็นเชื้อรา ให้ยามาทา ตอนนั้นเราไม่กล้าบอกหมอหรอกว่าเราเอาแชมพูมาทาทิ้งไว้ กลัวโดนพ่อดุ
อีกหนึ่งความทรงจำในวัยเด็กคือ เราเคยเอาผงซักฟอก มาสระผมด้วย ด้วยความเป็นเด็กไม่ประสีประสา เด็กแถวบ้านทำ คนแถวบ้านทำ เราก็ทำตาม ในชนบทเขาใช้ผงซักฟอกเป็นสารซักล้างเอนกประสงค์นะ คือใช้ซักผ้า ล้างจาน และก็สระผมด้วย โชคดีที่ผมไม่ร่วงหมดหัว อาจเพราะผงซักฟอกสมัยก่อนมันคงไม่ได้เข้มข้นรุนแรงแบบสมัยนี้กระมัง
แชมพูเทียร่า รูปจาก internet
วัยมัธยม
เด่นๆเลยในช่วงวัยนั้นคือ คือแชมพูแพนทีน ตอนนี้เรารู้สึกเสียดายมากๆที่ใช้ยี่ห้อนี้ไม่ได้ ใช้ทีไร ผมร่วงทุกที เราชอบยี่ห้อนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม สมัยนั้นแพนทีนเกิดใหม่ๆ ดังมาก ใครไม่ใช้นี่จะเรียกว่าเชยก็ได้ เราลองแทบทุกรุ่นเลยในช่วงนั้น แต่ชอบสุดก็คงเป็น แพนทีน pro-v รุ่น scalp care ขวดสีฟ้า ที่มี ปุ้ย สลักจิต ดลมินทร์ เป็นพรีเซนเตอร์ (ถ้าจำไม่ผิด) โอ้ โคตรเก่า จะมีใครจำดาราคนนี้ได้ไหมหนอ มันเป็นรุ่นที่เคลมว่าดูแลหนังศีรษะ เราว่ามันดีมาก ใช้แล้วหนังหัวสะอาด ไม่แห้ง ไม่มัน ผมสลวยไม่พันกัน ดีมากๆเลย หลังจากนั้นไม่นานก็เลิกผลิต ประมาณว่าปรับสูตร ปรับรุ่น มีรุ่นใหม่ๆออกมา รุ่นเก่าก็ถูกยกเลิกไป
พอหมดรุ่น pro-v scalp care เราก็ใช้แชมพูมั่วซั่ว มีครั้งหนึ่งไปใช้แชมพูยี่ห้อ Focus For men ที่โด่งดังมากในยุคนั้น ประมาณอยากแอบเท่ห์ใช้แบรนด์สำหรับผู้ชายไรงี้ เป็นเรื่องเลยค่ะ รังแคถามหา และก็ดูเหมือนว่าเราจะเริ่มเป็นรังแคและเป็นๆหายๆตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
มหาวิทยาลัย
เป็นช่วงวัยที่ลองแชมพูมั่วๆอีกช่วงหนึ่ง เพราะมีกำลังซื้อมากขึ้นและตัดสินใจซื้อเองได้มากขึ้น เนื่องจากอยู่หอพัก ซื้อเองใช้เองไม่ต้องเผื่อพ่อแม่พี่น้อง อะไรที่ออกใหม่ในทีวีก็ลองไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้มียี่ห้อไหนประทับใจเป็นพิเศษนะ เหมือนๆกัน คือแย่เหมือนกันหมด ที่ว่าแย่ไม่ใช่สินค้าไม่ดี แต่ผมเราแย่เองต่างหาก 5ปีในมหาวิทยาลัย ขับรถตากแดดทุกวัน ผมพันกันแทบหวีไม่ได้เลย สระผมต้องนวด ไม่นวดหวีไม่ได้ หวีได้แป๊บๆ พอไปขับรถ โดนลมโดนฝุ่นก็พันกันอีก ในที่สุดไปเจอเซรั่มอบไอน้ำของ alfaparf ช่างตัดผมเขาแนะนำให้ลอง โห มันดีมากอะ ลดปัญหาผมพันกันได้ประมาณ 70 % เลยนะ ตอนนั้นเราเลยบ้าอบไอน้ำไปเลย เก็บเงินเพื่อไปอบไอน้ำทุกเดือน ร้านเขาคิดราคารวมเซรั่มและอบอยู่สัก 150-200 นี่แหละ แค่นี้เราก็ว่าแพงแล้วนะ สำหรับวัยนักศึกษา
เซรั่ม alfaparf รุ่น Diamond ขวดสีฟ้า สำหรับอบไอน้ำหรือหมักผมด้วยตัวเอง
วัยทำงาน
มีกำลังซื้อมากขึ้นเพราะมีเงินเดือนแล้ว ช่วงนี้ยังคงอบไอน้ำด้วยเซรั่มตัวเดิม ตอนหลังเรามาหาซื้อเองในร้านเสริมสวยถึงรู้ว่ามันไม่แพงอะไรเลย ตกกล่องละ 600 กว่าบาท มี 12 หลอด ในเว็บขายกันที่ 700-800 แล้วแต่เว็บ เราอบตัวนี้อยู่เรื่อยๆ แต่ไม่รู้ยังไง อบไปอบมา ผมเราไม่ดีขึ้น สงสัยว่ายิ่งแก่ผมก็ยิ่งแย่ ฟื้นฟูด้วยของเดิมๆลำบาก เราก็เลยไม่ค่อยได้ไปอบ หมดแล้วก็ไม่ซื้อต่อ
แชมพูในช่วงวัยนี้เราใช้ซันซิลสีชมพูสูตรโยเกิร์ตเป็นหลัก คิดอะไรไม่ออกก็กลับมารุ่นนี้
วัยลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก (อายุประมาณ30)
ยังคงใช้ซันซิลสีชมพูเป็นหลัก สภาพผมไม่แย่ไม่ดี อยู่กลางๆ อาจเพราะไม่ได้ขับรถตากแดดแบบเมื่อก่อน แต่ปลายผมแห้งกรอบบ่อยมาก ต้องเล็มบ่อยๆ ซึ่งก็ไม่ค่อยมีเวลาไปเล็มมากนัก ลูกติดแม่มาก ก็เลยเริ่มหาผลิตภัณฑ์บำรุงผม อันแรกที่ลองคือ ชุดแชมพู+ทรีทเม้นท์ของลอรีอัลรุ่น total repair five ครั้งแรกๆที่ใช้ ดีมาก ผมนิ่ม ไม่พันกัน หลงรักเลย พอใช้ไปสักพัก มันก็คงที่ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หาตัวช่วยต่อ ได้เป็น kerastase oleo realx ตัวนี้เนื้อจะคล้ายๆน้ำมันบำรุงผม ใส่หลังสระผม ช่วยบำรุง ลดผมพันกัน ขอบอกว่ามันดีมาก ไม่ทำให้ผมมันด้วย ช่วยได้เยอะ ราคาพันกว่าบาท แพงสักหน่อย อาจเพราะเป็นของนำเข้าด้วย ผลิตที่สเปน นำเข้าโดย บ.ลอรีอัล แต่มันใช้ได้นานมากเป็นปี แนะนำเลยตัวนี้
จากนั้นก็ไปลองแชมพู+ครีมนวด+ทรีทเม้นท์+เซรั่มใส่ผม ของ scentio รุ่น Pro-keratin ที่ขายในบิวตี้ บุฟเฟ่ต์ รุ่นนี้ก็ดีเช่นกัน โดยเฉพาะแชมพูกับครีมนวด ใช้แล้วผมดีขึ้นเยอะเลย แต่เราไม่ค่อยชอบทรีทเม้นท์ที่เป็นกระปุกเท่าไหร่ เราว่ามันทำให้ผมมันเร็วมาก และก็ตัวเซรั่มก็ไม่ค่อยโอเค เวลาทาไปบนผม มันไม่ค่อยซึม ทำให้ผมเหมือนมีน้ำมันเคลือบตลอด ต่างจากตัว kerastase oleo realx อันนั้นดีกว่ามาก แต่ราคาก็ต่างมากเช่นกัน
ผลิตภัณฑ์กลุ่ม leave on (ทาทิ้งไว้บนผม)
ขวดซ้าย Scentio pro-keratin serum 295 บาท
ขวดสีส้มตรงกลาง kerastase oleo realx 1250 บาท คร่าวๆ
ขวดขวาสุด loreal Keratin smooth spray frizz eraser ประมาณ 200 กว่าๆ
เซตผลิตภัณฑ์รุ่น pro-keratin
ซ้าย ทรีทเม้นแบบกระปุก
กลาง ครีมนวด
ขวา แชมพู
แต่ละตัวเราจำราคาแน่นอนไม่ได้ อยู่ในหลัก 200-300 บาท
ภาพนี้ขาดเซรั่ม รูปเซรั่มจะอยู่รวมกับผลิตภัณฑ์กลุ่ม leave on ด้านบนนะคะ
จบจากแบรนด์ scentio เราก็วนกลับมาใช้ซันซิลเหมือนเดิม แต่คราวนี้สภาพผมแย่กว่าเก่ามาก คือ ฟูอยู่ครึ่งวัน จากนั้นก็ลีบ มันเร็วและปลายผมกระด้างมาก เลยลองกลับไปอบไอน้ำดูด้วยเซรั่ม alfaparf ตัวเดิม มันไม่ได้ผลแฮะ อบตั้งหลายครั้งนะ เล็มผมช่วยด้วย ก็ยังไม่โอเค เราเลยไปด้อมๆมองๆที่โลตัสใกล้บ้าน ได้เจ้าตัว loreal Keratin smooth spray เขาบอกว่าเป็นรุ่นลดผมชีฟู frizz eraser เราว่ามันดีระดับหนึ่ง ผมชี้ฟูน้อยลง หอม ไม่เหนียว แต่ถ้าใส่มากไป ผมก็มันและลีบได้เหมือนกัน โดยส่วนตัวเรายังไม่โอเค เลยตามหาตัวช่วยต่อไป
วันหนึ่งเรามีโอกาสได้ไปร้านขายอุปกรณ์เสริมสวยแถวบ้าน ถามเขาว่ามีตัวอบไอน้ำดีๆมั้ย ถ้าอบเองได้อยู่บ้านยิ่งดี เราไม่ค่อยมีเวลามากนัก
ร้านเขาแนะนำตัวนี้มาค่ะ ครีมอบไอน้ำของแคทเทอรีน เราเลือกซองสีส้ม สูตรโยเกิร์ตและโปรตีนไข่ คือ คิดเอาเองว่าตัวเองเคยถูกกับสูตรโยเกิร์ตของซันซิล ตัวนี้ก็น่าจะโอเคเหมือนกัน กลับมาถึงบ้าน คืนนั้นลองเลย ตัวนี้เป็นครีมอบไอน้ำในตัว ดีตรงนี้แหละ สระผมเสร็จก็ฉีกซองเอาครีมทาบนผม นวดๆสักหน่อย แล้วเอาหมวกอาบน้ำมาคลุมผม มันจะร้อนขึ้นเอง เราลองครั้งแรกนี่กะไม่ถูก นวดไปถึงหนังหัว ผลคือ ร้อนจนทนไม่ไหว ต้องถอดหมวกออกแล้วรีบล้างออก เท่ากับว่าใช้ครั้งแรก ระยะเวลาอบขาดไปไม่ครบตามที่เขาแนะนำ แต่ก็ไม่เป็นไรนะ ผลที่ได้ ทึ่งมาก ผมนิ่มมาก มีน้ำหนัก ไม่ฟู เห็นผลในครั้งแรกเลย เราใช้แค่ครึ่งซอง ที่เหลือพับซองหนีบไว้ กะไว้ใช้อีก ผลก็คือ ครั้งที่สองมันไม่ร้อนแล้วนะสิ
ซ้าย ครีมหมักผมของ Loreal hair spa สำหรับผมแห้งเสีย 75 กรัม 50 บาท
กลาง ครีมหมักผมแบบร้อน แคทเธอรีนสูตรโยเกิร์ตโปรตีนไข่ 25 กรัม 50 บาท
ขวา ครีมหมักผมแบบร้อน แคทเธอรีนสูตรงาดำ 25 กรัม 50 บาท
ขวดชมพูด้านหน้า เซรั่มหมักผม J-Forte Total solution serum 30 มล. 35 บาท
ด้วยความติดใจในผลลัพธ์ของแคทเธอรีนสูตรโยเกิร์ตโปรตีนไข่ เราเลยกลับไปร้านเสริมสวยร้านเดิม ตั้งใจไปซื้ออันเดิมนั่นแหละ แต่ไหนๆก็มาแล้ว เลยได้อย่างอื่นติดมือกลับมาด้วย คือ
1. ครีมหมักผมลอรีอัล แฮร์ สปา (Loreal hair spa for dry and damaged hair) สูตรสำหรับผมแห้งเสีย
2. ครีมหมักผมแบบร้อนของแคทเธอรีนสูตรงาดำ ซองม่วง
3. เซรั่มหมักผมยีห้อ J-forte ขวดละ 35 บาท เจ้าของร้านเขาแนะนำมา
4. แชมพู+ครีมนวดแคทเธอรีนสูตรโยเกิร์ตโปรตีนไข่ ภาพล่าง
แชมพูและครีมนวดผมแคทเธอรีนสูตรโยเกิร์ต โปรตีนไข่ รวมทั้งชุด 220 บาท
วันนั้นกลับมาถึงบ้าน เราเริ่มลองด้วยแชมพู+ครีมนวดแคทเธอรีนสูตรโยเกิร์ตโปรตีนไข่ โดยไม่ใช้ครีมหมักผมใดๆเลย ผลที่ได้คือ ผมพันกันในระดับหนึ่ง ไม่สลวยสวยเก๋เหมือนตอนที่หมักด้วยครีมสูตรร้อน หัวไม่มันไม่ลีบเท่าตอนใช้ซันซิล
ผ่านไปอีก 1 วัน เราลองใหม่ ใช้แชมพูของแคทเธอรีนและเอาครีมนวดผสมกับเซรั่มขวดสีชมพู J-forte ประมาณ1ฝา นวดให้ทั่ว ครั้งนี้รู้สึกร้อนๆที่ผมนะ คาดว่าน่าจะเป็นผลจากเซรั่ม J-Forte ทิ้งไว้ 5 นาที ล้างออก ผลที่ได้คือผมพันกันน้อยลง นิ่มขึ้น ดีกว่าใช้ครีมนวดเพียวๆ
ผ่านไปอีก 1 วัน เราก็ลองอีก ใช้แชมพูของแคทเธอรีน แต่ไม่ใช้ครีมนวด ข้ามไปใช้ครีมหมักผมของลอรีอัล hair spa เลย ผลที่ได้ ทึ่งอีกแล้ว ผมนิ่มมาก ไม่ฟู ไม่มัน ลูบผมทั้่งวัน เราใช่แค่ครึ่งซอง ที่เหลือพับเก็บ ตัวนี้มีวิธีใช้ที่ยาวหน่อย ใช้เวลาเยอะ คือ หลังสระผมให้นวดครีมสปา 20 นาที จากนั้นเอาหวีมาสางๆแล้วก็อบไอน้ำต่ออีก 10 นาที ถ้าไม่มีเครื่องอบก็เอาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นพันไว้ รวมแล้วใช้เวลา 30 นาทีเป็นอย่างต่ำ เราทำไม่ถึงนะ แค่ 10 นาทีก็ถือว่านานแล้ว ไม่ใช่อะไร ลูกเรามายืนเกาะประตูห้องน้ำเรียก แม่ แม่ แม่
ไม่ครบก็ไม่เป็นไร 10 นาทีที่หมักก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แนะนำเลยตัวนี้ ได้เยอะ ตั้ง 75 กรัม เราแบ่งใช้ 3 ครั้ง ได้มาในราคาที่ถูกมากซองละ 50 บาทเท่านั้น ร้านอื่นๆรวมทั้งในเว็บแพงกว่านี้ กะว่าหมดซองนี้จะไปหาซื้อแบบกระปุกมาใช้จะได้สะดวกขึ้น แต่เพื่อนเราบอกว่าแบบกระปุกมีของปลอม แบบซองปลอดภัยกว่า อืม ว่าแล้วก็คงซื้อแบบซองต่อไป เราพลิกดูหลังซอง รุ่นนี้มันผลิตอยู่เมืองจีน ตกใจเล็กน้อย อย่าบอกนะว่า เราได้ของปลอมมา!! คงไม่ม้างงงง ใช้ดีขนาดนี้
มาที่ตัวสุดท้าย Joico ของแพง ผลิตที่ อเมริกา นำเข้าโดยบ.ชิเซโด้
ซ้าย Joico Body Luxe ครีมนวดสำหรับผมเส้นเล็ก ลีบบาง 300 มล.ประมาณ 500 กว่า
กลาง Joico Body Luxe แชมพูสำหรับผมเส้นเล็ก ลีบบาง 300 มล. ประมาณ 400 กว่า
ขวา Joico โปรตีนหมักผมเข้มข้น k-pak Deep-penetrating reconstructor สำหรับผมแห้งมาก ประมาณ 2500 แพงแต่เยอะนะ 1000 มล.
เริ่มที่แชมพูและครีมนวดรุ่น body luxe สำหรับผมเส้นเล็ก บนฉลากบอกว่ามีส่วนผสมของ oat amino acids + hydrolyzed oat protein ช่วยเคลือบผมเส้นต่อเส้น ทำให้ผมเส้นใหญ่ขึ้น ไม่พันกัน มีน้ำหนัก เราลองใช้ครั้งแรก รู้สึกได้เลยว่าผมเส้นใหญ่ขึ้นจริงๆ รู้สึกได้ตั้งแต่ล้างผมเลย เหมือนผมเราเยอะขึ้น หนาขึ้น ไม่ได้คิดไปเอง ส่วนผสมคงไปช่วยเคลือบเส้นผมที่ลีบแบนให้กลมขึ้น (รึเปล่า) ตัวครีมนวดนี่ใช่แค่นิดเดียวก็นวดได้ทั่วผม ล้างออกง่าย ไม่ลื่นเหมือนครีมนวดซิลิโคนทั่วไป ตอนล้างสังเกตได้ว่าผมร่วงน้อยมากๆ
พอตอนผมแห้งแล้ว ผมนิ่มมาก แต่น้อยกว่าตอนใช้ loreal hair spa นะ อันนั้นนิ่มกว่านิดนึง แต่ที่ชัดเลย คือ ผมเรามีวอลลุ่มและสปริงดีมาก หนังหัวไม่มัน ไม่แห้ง ลูบผมได้ทั้งวันโดยหัวไม่มัน ไม่รำคาญหนังหัว สะเก็ดรังแคที่เคยเป็นๆหายๆก็ไม่มี และที่ดีมากๆคือ มันสวยอยู่ได้เกิน 2 วันโดยที่หนังหัวยังโอเคอยู่ ก็สมราคาเขา
มาถึง The best and most expensive คือเจ้า k-pak Deep-penetrating reconstructor เนื้อครีมเข้มข้น กลิ่นกล้วย (เราดมได้กลิ่นนี้) ใช้นิดเดียวก็หมักได้ทั่วผม และไม่จำเป็นต้องทิ้งไว้นาน แค่ 5 นาทีก็ล้างออกได้ เห็นผลในครั้งแรกจริงๆ ดีสมคำร่ำลือ ดีกว่า loreal hair spa อีก แต่ราคาเธอก็นะ โหดมากกก เขาบอกว่าเหมาะกับผมที่แย่มากๆ แบบทำสี ทำนู่นนี่จนผมชอตเป็นไม้กวาด ให้เอาตัวนี้ปราบ ใน pantip ก็มีคนรีวิว ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมดูนะคะ ถ้าหมดแล้วเราก็คงไม่ซื้อต่อ ขอกลับไปซบ loreal hair spa ซอง 50 บาท คุ้มค่ากว่า ผมเราไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่กว่าจะหมดก็คงอีกนาน เพราะเราซื้อขวดใหญ่มา น่าจะใช้ได้เป็นปี
สรุปของที่คุ้มค่ากับการลงทุน
ผมไม่ได้แย่มาก ไม่ค่อยได้ทำสี/โกรกผม/ย้อมผม/ไดร์/ยืด เลือก loreal hair spa มาใช้แทนครีมนวดผม และก็หมั่นเล็มปลายที่เสียอย่างสม่ำเสมอ
ผมแย่มาก ผ่านการทำร้ายผมซ้ำๆ ลองมาเยอะมากแต่ยังไม่เจอที่ได้ผลหรือถูกใจ พิจารณา Joico k-pak penating reconstructor อีกสักตัวดูนะ ขวดเล็กก็มี ราคาพอเอื้อมถึง สั่งในอินเทอร์เนต ร้านเลิศพาณิช มีเว็บไซต์ ราคาถูกกว่าเว็บอื่นๆที่เราเคยสำรวจ
ขอให้ทุกคนโชคดีในการดูแลผม ขอให้มีผมที่สวยงามเสริมบุคลิกและความมั่นใจค่ะ
ต่อภาค 2 >> เมื่อแม่ลูกสองอยาก ยืดผม ตามไปดูกันค่ะ
20 ก.พ. 2559